น้องเขต เล่งวิริยะกุล สอบPAT 7.4 ได้ 270 (เต็ม300)
ผมเป็นคนชอบเรียนภาษาและรู้สึกว่าตนเองถนัดและเรียนรู้ได้เร็ว ภาษาแรกที่เรียนคือภาษาอังกฤษ ภาษาที่สองคือภาษาจีน ตอนอยู่ชั้น ม.2 โดยที่โรงเรียนมีเปิดสอนพิเศษภาษาจีนช่วงหลังเลิกเรียน เรียนได้ประมาณหนึ่งเทอมครูอาสาสมัครก็กลับไปประเทศจีน การเรียนภาษาจีนของผมจึงหยุดไป ต่อมาทางบ้านได้ติดต่อครูอีกท่านหนึ่งมาสอนภาษาจีนให้ผมแบบตัวต่อตัว เรียนช่วงเสาร์อาทิตย์ ครั้งละ 2-3 ชั่วโมง เวลาเรียนก็สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ การเรียนครั้งนี้ ผมเริ่มแยกความแตกต่างของแต่ละเสียงออก สื่อสารด้วยประโยคง่ายๆได้ จำตัวอักษรจีนได้และอ่านบทความง่ายๆ ที่อยู่ในหนังสือเรียนออก ยิ่งทำให้ผมรู้สึกภูมิใจและสนุกกับการเรียน แต่เรียนได้ประมาณครึ่งปี ครูก็จะเดินทางกลับประเทศจีน ผมจึงต้องหยุดเรียนไป
เมื่อขึ้นชั้นมัธยมปลาย ผมสอบติดโควตาของจังหวัด ได้มาเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในสาย วิทย์-คณิต ซึ่งค่อนข้างหนัก ผมเรียนกวดวิชาจนตารางแน่น โดยที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเรียนต่อคณะอะไร และไม่ได้เรียนภาษาจีนต่อเลยเป็นเวลา 2 ปี ระหว่างนี้ ผมจะหาละครจีนมาดู หาเพลงจีนมาฟัง ซึ่งทำให้ผมคุ้นเคยกับภาษาและสำเนียงจีนมากขึ้น ผมยังชอบเขียนภาษาจีนเล่นๆ และพยายามพูดเป็นภาษาจีนง่ายๆ ทำให้สำเนียงภาษาจีนพัฒนาขึ้น ตลอดเวลา 2 ปีนี้ ผมอาจจะไม่ได้เรียนรู้ศัพท์หรือไวยากรณ์ใหม่ๆ แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ลืมสิ่งที่เรียนผ่านมา แรงบันดาลใจของผมคืออยากเรียนรู้ภาษาจีนมากขึ้นเรื่อยๆ มีความฝันอยากจะเรียนภาษาต่างประเทศให้ได้หลายๆภาษา การเรียนอะไรก็ตามจะไม่ประสบความสำเร็จเลย ถ้าเราไม่อยากเรียน มีอคติ หรือถูกบังคับให้เรียน โดยเฉพาะภาษา ซึ่งเป็นวิชาศิลป์ ต้องอาศัยเวลา ความตั้งใจและค่อยๆ ซึมซับไป
เมื่อจบชั้น ม.4 ผมตัดสินใจว่าจะสอบเข้าคณะอักษรศาสตร์ เพื่อจะได้เรียนเกี่ยวกับภาษา การสอบเข้าคณะอักษรศาสตร์นั้นต้องใช้คะแนนสอบ PAT 7 (ภาษาต่างประเทศที่ 3) ดังนั้นในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ผมจึงเริ่มหาที่เรียนภาษาจีนเพื่อที่จะได้ใช้ภาษาจีนในการสอบเข้าได้ ผมดูอยู่หลายที่ ในที่สุดก็ได้มาเจอกับโรงเรียนสอนภาษาจีนเพียรอักษรของหงหล่าวซือ
หลังจากผมผ่านปฐมนิเทศ ชมวีดีโอตัวอย่างการสอนของหงหล่าวซือ และชมวีดีโอประวัติของหงหล่าวซือ ผมก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจในการสอนและความรู้ที่หงหล่าวซือมี เชื่อมั่นว่าผมจะได้รับความรู้ที่มีคุณภาพจากหงหล่าวซือ แต่ด้วยเวลาที่จำกัด ผมจึงลงเรียนเป็นคอร์สพิเศษ โดยเรียนกับวีดีโอคนเดียว ตลอดช่วงปิดเทอม เพื่อที่ช่วงเปิดเทอมผมจะได้ลงเรียนกวดวิชาวิทย์-คณิตได้
ในช่วงแรกๆ ผมเรียนภาษาจีนวันละ 2 ครั้ง (รวม 6 ชั่วโมง) การเรียนคนเดียวนี้ทำให้ผมรู้สึกเป็นอิสระ ไม่ต้องกังวลหรืออายเวลาออกเสียงตามหล่าวซือ ผมจะพยายามออกเสียงตามหงหล่าวซือให้ถูกต้อง ชัด ดัง และเร็ว ตามคำแนะนำของหงหล่าวซือ และพยายามทำการบ้านฝึกเขียนตัวอักษรจีนทุกครั้ง ซึ่งผมก็คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกมาเรียนกับหงหล่าวซือ และตั้งใจเรียนตลอดช่วงปิดเทอม 2 เดือนนั้น ผมได้ความรู้ภาษาจีนมากมายทีเดียว อีกทั้งสำเนียงที่ถูกต้อง การฟัง พูด อ่าน เขียน และแปล ก็มีความก้าวหน้ามากมาย
การสอนของหงหล่าวซือคือการให้นักเรียนซึมซับภาษาจีนเข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติ ให้นักเรียนพูดตามอย่างชัดเจนหลายๆ ครั้ง และค่อยๆ เพิ่มเนื้อหาเข้าไปอย่างพอเหมาะ คล้ายกับการที่เด็กๆเรียนรู้ภาษาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวไปทีละนิด ผ่านการได้ยิน เห็น พูด ทำซ้ำๆ ตอกย้ำซ้ำๆ บวกกับหงหล่าวซือมีความตั้งใจสอนอย่างมาก ซึ่งเป็นพลังอย่างหนึ่งที่นักเรียนทุกคนสัมผัสได้ แม้แต่ตัวผมที่เรียนผ่านวีดีโอก็ตาม หงหล่าวซือจะพานักเรียนพูดเกือบตลอด 3 ชั่วโมงของการเรียนแต่ละครั้ง ให้นักเรียนได้ฝึกฟังและเดาศัพท์จากบทเรียนที่ยังมาไม่ถึง พานักเรียนแปลจีนเป็นไทย หรือไทยเป็นจีนอยู่ตลอด สอนรากศัพท์และวิธีการสร้างคำสร้างประโยค จนสิ่งเหล่านี้กลายเป็นความคุ้นเคยและเข้าใจภาษาจีนอย่างแท้จริง พูดและอ่านได้คล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องมาคอยนึกถึงโครงสร้าง ไวยากรณ์หรือศัพท์ที่เรียนผ่านมา ฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขียนได้คล่อง และเดาศัพท์เป็น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นทักษะสำคัญในการเรียนภาษาทุกภาษาที่จะต้องไปควบคู่กัน แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างนอกจากการเรียนในห้องก็คือการหมั่นทบทวนเองอยู่เสมอ ไฟล์บันทึกเสียงการเรียนการสอนหงหล่าวซือสำคัญมาก การฟังและพูดตามหงหล่าวซืออีกหลายๆ ครั้งผ่านทางไฟล์เสียง หรือการเปิดหนังสือขึ้นมาเพื่ออ่านออกเสียงด้วยตนเองซ้ำไปมาจนคล่องนั้นอาจจะดูเป็นสิ่งที่เหน็ดเหนื่อยและน่าเบื่อ แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้เรียนภาษาไม่ทำไม่ได้ ผมทบทวนต่อเนื่องเกือบทุกวันจึงจำได้แม่นยำ สิ่งที่ผมพยายามทำให้เสร็จก่อนการเรียนครั้งต่อไปเสมอคือการเปิดหนังสือมาฝึกการอ่าน ด้วยการออกเสียงถูกต้อง ชัดเจน เป็นจังหวะ และด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งคล่องทุกประโยค สิ่งเหล่านี้ทำให้พัฒนาการด้านภาษาจีนของผมก้าวหน้าไปได้เร็วมาก ซึ่งเทคนิคการดูแลความรู้เหล่านี้ก็คือสิ่งที่หงหล่าวซือแนะนำและเตือนย้ำเสมอในห้องเรียน
ในช่วงเปิดเทอมที่ผมไม่ได้เรียนภาษาจีน ผมก็นำหนังสือและไฟล์เสียงมาทบทวนเสมอ จึงรักษาระดับภาษาจีนไว้ได้ โชคดีที่ทางโรงเรียนอนุญาตให้นักเรียนสายวิทย์-คณิตเปลี่ยนสายเป็นศิลป์-คำนวณได้ในชั้น ม.6 ผมจึงเปลี่ยนสายและทุ่มเทกับการเรียนภาษาจีนได้อย่างเต็มที่มากขึ้น ผมเรียนภาษาจีนจนถึงช่วงปิดเทอมฤดูร้อนก่อนขึ้นชั้น ม.6 ก็จบหลักสูตรปี 2 ของหงหล่าวซือ และเวลาที่เหลือก็ใช้กับการทบทวนและเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมเรียนภาษาจีนเฉพาะช่วงปิดเทอม(ประมาณ 6-7 เดือน) แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าความรู้อัดแน่นจนรับไม่ได้ ผมมีความสุขและสนุกกับการเรียนภาษาจีน ผมพยายามตามความรู้ให้ทันอยู่ตลอด และยังรู้สึกว่าสิ่งใหม่ๆ และยากๆ ที่ได้เรียนเพิ่มขึ้นในแต่ละครั้งนั้น ด้วยการอธิบายและวิธีการสอนของหงล่าวซือ ยิ่งทำให้ผมสัมผัสถึงความลึกซึ้งและความงามของภาษาจีนได้
ตอนนี้ผมผ่านการสอบ PAT 7.4 (ภาษาจีน) ไปแล้ว ผมทำคะแนนได้ 270 คะแนน (เต็ม 300 คะแนน)ทั้งหมดนี้ผมกล้าพูดได้เลยว่าเกิดจากหงหล่าวซือ ที่ได้เตรียมเนื้อหาและใช้วิธีการสอนที่เหมาะสมและถูกต้อง มีจิตใจที่ตั้งมั่น ทุ่มเท และหวังจะให้ลูกศิษย์ทุกคนได้ความรู้ที่มีค่าไปให้มากที่สุด และเกิดจากผลแห่งความวิริยะอุตสาหะของผมเอง ผมไม่ได้เก่งเลย แต่ผมรักในการเรียนภาษา และผมมีความสุขกับการเรียน คะแนนสอบนี้นับเป็นความสำเร็จตามที่ผมตั้งเป้าไว้ และผมหวังว่าคะแนน 270 คะแนนนี้ จะช่วยให้ผมเข้าเรียนในคณะอักษรศาสตร์ได้ตามที่ผมใฝ่ฝันไว้